ซีอีโอหนุ่ม ‘เอ็ม อภิดิศร์’ ฟ้อง ดาราสาวหมิ่นประมาท หลังศาลยกฟ้องคดีวางยาข่มขืน
ซีอีโอหนุ่มคนดัง ‘เอ็ม อภิดิศร์’ ส่งทนายฟ้องกลับ ดาราสาว ฐานหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 5 ล้าน คดีให้สัมภาษณ์กล่าวหาวางยาข่มขืน แต่ในที่สุดศาลยกฟ้อง
6 ธ.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2567 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายอภิดิศร์ อินทุลักษณ์ (ปาจรียางกูร) หรือ เอ็ม หรือ เอ็ม อภิดิศร์ หลานอดีตรัฐมนตรี ซีอีโอหนุ่ม และนักธุรกิจชื่อดัง ที่ศาลยกฟ้องคดีข่มขืนดารา ส่งผู้รับมอบอำนาจเดินทางไปยื่นฟ้อง ดาราสาว ชื่อย่อ ณ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท
คำร้องระบุ พฤติการณ์ สรุปว่า โจทก์เคยเป็นซีอีโอและประธานบริษัท Aphi Enterprise ซึ่งประกอบธุรกิจหลายอย่าง โดยเฉพาะธุรกิจนำเข้าศิลปินเกาหลี มาจัดคอนเสิร์ตในประเทศไทย รวมถึงการติดต่อธุรกิจอื่นๆ เกี่ยวกับประเทศเกาหลีใต้ และธุรกิจนำเข้าที่จอดรถเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมัน
จำเลยเป็นนักแสดงอิสระ ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์ ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราและอื่นๆ จนกระทั่งศาลนี้มีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีนี้ ว่า ไม่มีความผิด
และเมื่อ วันที่ 26 ส.ค.2565 จนถึงปัจจุบัน จำเลยได้กระทำความผิดอาญา อันเป็นความผิดหลายกรรม ประกอบด้วย เวลากลางวัน จำเลยใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยการโฆษณา ด้วยการให้สัมภาษณ์ในการออกรายการดัง ที่สัมภาษณ์สอบถามจำเลยเกี่ยวกับคดีระหว่างโจทก์กับจำเลย ที่ได้ร้องทุกข์กล่าวหาโจทก์ฐานข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชนทั่วไป ทราบว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้ มีข้อความส่วนหนึ่งประมาณว่า "เขาจะพาเราไปที่แห่งหนึ่งและส่งสถานที่ให้ เราดู...มารู้สึกตัวอีกทีประมาณตี 2 หลังจากตื่นมา เขาก็ไม่ได้อยู่ที่นั้นแล้ว ...เขาคะยั้นคะยอให้เรากินโซจูตอนคุยงาน"
และหลังจากนั้นพิธีกรถามว่า หลังจากไปถึงที่บ้านถึงรู้ว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศใช่มั้ย จำเลยตอบว่า "ค่ะ" โดยข้อความที่จำเลยอธิบายต่อพิธีกรในรายการ ทำให้บุคคลที่สามหรือประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ว่าโจทก์ล่อลวงให้จำเลยไปสถานที่แห่งหนึ่ง และมอมเมาด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จนกระทั่งล่วงละเมิดทางเพศแก่จำเลย
และในวันเดียวกันนั้น เวลากลางวัน จำเลยใส่ความโจทก์ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวสำนักข่าวต่างๆ หลายแห่ง ที่สอบถามจำเลยเกี่ยวกับคดีที่จำเลยเป็นผู้เสียหายร้องทุกข์กล่าวหาโจทก์ฐานข่มขืนกระทำชำเรา มีข้อความส่วนหนึ่งว่า "เราไม่ขาดสติในการนัดเจอกันไปคุยงานนี้ยืนยัน...เรามีหลักฐานแน่นอนว่า เราไม่ได้สร้างเหตุการณ์มาแบล็กเมล์เขาทั้งนั้น"
และจบท้ายด้วยข้อความว่า "เราพยายามมาตลอด สู้ตามหลักฐานมาตลอดกับพี่สาว เราถูกบิดเบียนทุกอย่าง" อันมีความหมาย ในทำนองว่าโจทก์กล่าวหาจำเลยแบล็กเมล์โจทก์(เพื่อเรียกเอาผลประโยชน์ แลกกับการเปิดเผยความลับหรือทำให้เสียหายเดือดร้อน) และแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้กล่าวหาโจทก์เรื่องการข่มขืนแต่เพราะหลักฐานที่จำเลยมีถูกบิดเบือนข้อเท็จจริงให้โจทก์ได้เปรียบ อันเป็นการสร้างภาพให้โจทก์เป็นคนร้ายในสายตาประชาชนทั่วไป
นอกจากนี้ วันที่ 6 ก.ย.2565 จำเลยให้สัมภาษณ์ในการออกรายการดัง ที่สัมภาษณ์สอบถามจำเลยเกี่ยวกับคดีระหว่างโจทก์กับจำเลย โดยก่อนหน้านั้นในวันที่ 5 ก.ย.2565 ศาลอาญานัดไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราวโจทก์ ในคดีข่มขืนจำเลย ระหว่างโจทก์และจำเลยในคดีนี้ ซึ่งโจทก์ได้นำเสนอคลิปวิดีโอการพูดคุยระหว่างโจทก์และจำเลยเสนอต่อศาล และจำเลยก็ทราบคลิปวิดีโอดังกล่าวดี แต่ได้นำเรื่องคลิปลิปวีดีโอดังกล่าวออกมาพูดออกกาศในทำนองว่า "โจทก์นำคลิปแอบถ่ายไปเปิดในศาล" อันเป็นการสื่อสารให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่า เป็นคลิปแอบถ่ายในเชิงอนาจาร
จำเลยยังให้สัมภาษณ์ในรายการต่อไปประมาณว่า "ตั้งใจจะไปคุยงานก็เห็นเขายังไม่กลับ ด้วยความที่เขาเป็นนายทุน เขาเอาอะไรให้เราดื่ม ก็ไม่ได้หวาดระแวงถึงพฤติกรรมของเขา ทำแบบนี้กับเราพอมันเกิดเรื่องแบบนี้ ณ ตอนนั้นหนูยังไม่รู้เลยว่าหนูโดนเขาวางยา ข่มขืนหรือกระทำชำเรา" ซึ่งเป็นการสื่อสารให้บุคคลที่สามหรือประชาชนทั่วไป รับรู้ว่าโจทก์ได้ทำการข่มขืนจำเลยด้วยการวางยา
ตามคำฟ้อง ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์ของจำเลย กับพิธีกรซึ่งจำเลยเล็งเห็นผลได้ว่า ข้อความที่ตนได้พูดออกไป จะต้องสร้างความเสียหายแก่โจทก์ ต่อบุคคลที่สาม ที่สามารถเข้าถึงได้ และต่อมาผู้สื่อข่าวและนักข่าวอิสระต่าง ๆ ได้นำภาพและเสียงการให้สัมภาษณ์ในรายการ และสัมภาษณ์ต่อสื่อสารมวลชนของจำเลยไปโฆษณาเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ ในโลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้อีกหลายแห่งในแอปพลิเคชั่นเฟซบุ๊ก , แอปพลิเคชั่นยูทูบ และ ติ๊กต๊อก
ตามเจตนาดังกล่าวของจำเลย อันเป็นการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา รายละเอียดปรากฏตามเสียงและภาพเคลื่อนไหว การกระทำดังกล่าวของจำเลยฝ่าฝืนต่อความจริงเป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของโจทก์ เป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญก้าวหน้าของโจทก์ โดยที่รู้อยู่แล้วว่า ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง และเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของโจทก์
ทำให้โจทก์ซึ่งประกอบธุรกิจส่วนตัว และเป็นธุรกิจที่เกี่ยวพันกับผู้คนจำนวนมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ และต้องอาศัยความน่าเชื่อถือ ไว้ใจ หรือแม้กระทั่งความประพฤติในทางศีลธรรมจรรยา ซึ่งเป็นงานที่ต้องพบปะผู้คนเป็นจำนวนมาก อีกทั้งบุคคลทั่วไปรู้จักโจทก์ดี และทราบว่าโจทก์เป็นบุคคลในแวดวงสังคมทางธุรกิจ และการเมือง
การกระทำดังกล่าวของจำเลย ทำให้โจทก์ได้รับผลกระทบเสียหาย เพราะมิใช่การติชมโดยสุจริตหรือเพื่อปกป้องสิทธิของตนโดยชอบ และไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จะอ้างเพื่อให้พ้นความรับผิดได้ อีกทั้งเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคมในภาพรวม เพราะศาลไม่ได้พิพากษาว่าโจทก์กระทำผิดจริง จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเงินจำนวน 5 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย
โดยศาลรับคำฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.3378/2567 เเละนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 3 ก.พ. 2568